วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

นางในวรรณคดี

ขอบคุณข้อมูลจากเว็บกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก จักรพันธ์ โปษยกฤต (รวมผลงาน)





ภาพจากเรื่องอิเหนา  ตอน บุษบาเสี่ยงเทียน

          วรรณคดี ถือเป็นวรรณกรรมหรืองานเขียนที่ได้รับการยกย่องว่า นอกจากจะมีเนื้อหาสาระในเชิงสร้างสรรค์แล้ว ยังมีคุณค่าทางวรรณศิลป์ สามารถทำให้ผู้อ่านคล้อยตามเนื้อเรื่องได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ วรรณคดีส่วนใหญ่ มักให้ความสำคัญที่ตัวละคร รวมถึงการดำเนินเรื่อง และสิ่งที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากไม่แพ้เนื้อหา คือ นางในวรรณคดี ที่แต่ละเรื่องที่มีอุปนิสัยแตกต่างกัน ซึ่งนางในวรรณคดีเหล่านี้บ้างก็พบกับโชคชะตาที่ยากลำบาก หรืออุปสรรคต่าง ๆ กระทั่งนำไปสู่บทสรุปที่แตกต่างกันไป ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้อ่านได้นำไปเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตนั่นเอง 

          และนี่เป็นเพียงประวัติของนางในวรรณคดีเพียงบางส่วนเท่านั้น  ลองไปดูได้เลยนะคะ






จันทร์สุดา



 จันทร์สุดา จากเรื่อง นางผมหอม 

          นางจันทร์สุดา เป็นราชธิดาท้าวพรหมจักรแห่งจันทรนคร นอกจากรูปงามแล้วยังผมหอมอีกด้วย นางมีชีวิตอยู่เป็นสุขจนกระทั่งวันหนึ่งบ้านเมืองก็เกิดอาเพศ  มีนกอินทรียักษ์บินมาโฉบเอาผู้คนไปกินจนเกือบหมดเมือง ด้านท้าวพรหมจักรที่ทรงอับจนหนทาง ด้วยความเป็นห่วงธิดา จึงสั่งให้สร้างกลองใหญ่ขึ้นใบหนึ่ง แล้วซ่อนนางจันท์สุดาไว้ในนั้น


          วันหนึ่ง คาวีชายหนุ่มรูปงามเดิมเป็นลูกโค แต่พระฤาษีชุบชีวิตให้เป็นมนุษย์เดินทางมาถึงจันทรนคร เห็นปราสาทราชวังรกร้างก็สงสัย จึงเข้าไปตรวจตราภายใน จนพบซากโครงกระดูกมนุษย์กระจายเกลื่อน และพบกลองใบใหญ่ผิดปรกติอยู่ใบหนึ่ง แต่เมื่อลองตีกลองดังกล่าวดูกลับไม่มีเสียงดังออกมา คาวีที่สงสัยจึงใช้พระขรรค์ประจำตัวซึ่งพระฤาษีถอดดวงใจคาวีซ่อนไว้ในนั้น แหวกหน้ากลองออกจนพบนางจันทร์สุดา



          จากนั้นคาวีที่ร่ำเรียนวิชาอาคมมาจากพระฤาษี จึงอาสาให้ความช่วยเหลือ และเมื่อคาวีฆ่านกอินทรียักษ์ได้ เขาจึงได้อภิเษกสมรสกับนางจันทร์สุดา  แต่วันหนึ่งขณะที่นางจันทร์สุดาอาบน้ำ เมื่อนางสระผมแล้วเห็นผมร่วงหลายเส้นก็นึกเสียดาย เพราะผมของนางมีกลิ่นหอมจึงเก็บใส่ผอบลอยน้ำไป จนกระทั่ง ท้าวสันนุราช กษัตริย์เฒ่าแห่งเมืองพัทธพิสัยทรงเก็บผอบดังกล่าวได้ จึงได้บังเกิดความลุ่มหลงในผมของนางจันทร์สุดา ก่อนใช้อุบายให้คนนำพระขรรค์ของคาวีไปเผาไฟจนคาวีเสียชีวิตและชิงนางจันทร์สุดามาได้สำเร็จ แต่ท้าวสันนุราชไม่อาจเข้าใกล้นางจันทร์สุดาได้ อันเนื่องมาจากอำนาจความซื่อสัตย์ที่นางจันทร์สุดามีต่อสามี



          ด้านพหลวิชัยซึ่งแต่เดิมเป็นลูกเสือ ที่พระฤๅษีชุบชีวิตให้เป็นมนุษย์พร้อมกับคาวี และเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน รู้สึกสังหรณ์ใจว่าจะเกิดเหตุร้ายกับน้องชาย พหลวิชัยจึงตามหาร่างคาวีจนพบ ก่อนชุบชีวิตให้คืนชีพ และช่วยเหลือคาวีกำจัดท้าวสันนุราช โดยการเที่ยวประกาศว่าตนเป็นฤๅษีมีฤทธิ์สามารถชุบคนแก่ให้กลับคืนเป็นหนุ่มได้ ท้าวสันนุราชที่เกิดหลงกล และอยากเป็นหนุ่มรูปงามเพื่อหวังว่านางจันท์สุดาจะรับรัก จึงให้ฤๅษีปลอมทำพิธีชุบตัวให้ เมื่อเข้าพิธี พหลวิชัยได้ผลักท้าวสันนุราชตกลงไปตายในหลุมไฟ จากนั้นก็ให้คาวีปลอมตัวเป็นท้าวสันนุราชองค์หนุ่มออกมาแทน ดังนั้นคาวีกับนางจันทร์ผมหอมจึงได้ครองเมืองพัทธพิสัยนับแต่นั้นเป็นต้นมา


สาวิตรี


สาวิตรี จากเรื่อง ภควัทคีตา

          นางสาวิตรี เป็นบุตรของมหาราชอัชวาปตีกับมหารานีมัลวี ซึ่งมหาราชอัชวาปตีนั้น ไม่มีบุตรชายเลย จึงได้ทำพิธีภาวนาต่อพระแม่มาเตสวาตี (พระแม่กายาตรี) ถึง 16 ปี จนพระแม่มาประทานพรให้ แต่เนื่องจากในโชคชะตาของมหาราชนั้น ไม่ได้มีพรของบุตรชายเลย พระแม่จึงได้มอบบุตรสาวที่เก่งกาจสามารถ มีสติปัญญา และรูปโฉมอันงดงามให้ เทวฤาษีนารัทมุนีได้ตังชื่อให้เด็กน้อยว่า สาวิตรี นางเป็นหญิงที่ฉลาดและงดงามมาก จนไม่มีชายใดกล้ามาสู่ขอ มหาราชอัชวาปตีจึงได้มอบหมายให้นางออกหาสามีเอง จนกระทั่งนางได้พบกับพระสัตยวาน บุตรของอดีตมหาราชจันทราเซนซึ่งตาบอด 

          ต่อเมื่อในงานอภิสมรส เมื่อพระยมราชที่มาร่วมงานด้วยได้แจ้งว่า พระสัตยวาน เหลือเวลาบนโลกมนุษย์อีกเพียง หนึ่งปีเท่านั้น เมื่อนางสาวิตรีรู้ข่าวก็ได้เข้าไปภาวนาต่อพระแม่มาเตสวตี ซึ่งพระแม่มาเตสวตีได้แนะนำหนทาง โดยให้นางถือศีลอดอาหารอย่างเคร่งครัด เพื่อขอพรให้กับพระสัตยวาน ซึ่งในขณะที่นางถือศีลอยู่นั้น ยมราชได้พยายามมาก่อกวนนางทุกทาง เมื่อพระสัตยวานสิ้นพระชนม์ลง นางสาวิตรีที่มีใจรักสวามีมาก จึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อลงไปยมโลก ก่อนใช้กลอุบายในการต่อรองกับยมราช จนสุดท้ายยมราชจึงยอมคืนวิญญาณพระยาสัตยวาน ทำให้ทั้งคู่ได้ครองคู่กันอย่างมีความสุข

ทมยันตี



ทมยันตี จากเรื่อง พระนลคำหลวง 

          นางทมยันตี เป็นธิดาของพระเจ้าภีมราชแห่งเมืองคันธปุระ เมื่อโตเป็นสาวก็มีพระสิริโฉมงดงามและเป็นกุลสตรีที่ดี ต่างก็ร่ำลือกันไปไกลจนถึงสวรรค์ ส่วนพระนลเป็นเจ้าชายเมืองนีษระ เป็นคนเก่ง ฉลาด และรูปลักษณ์งดงามมาก ต่างก็ยกย่องและร่ำลือกันไปไกล เมื่อทั้งคู่เติบโตอยู่ในวัยหนุ่มสาวต่างก็ใฝ่ฝันและถวิลหาซึ่งกันและกัน 

          ต่อมาพระเจ้าภีมราชได้ประกาศพิธีสยุมพรของพระนางทมยันตีขึ้น โดยเชิญเจ้าชายและกษัตริย์ทุกเมืองมาร่วมพิธี โดยการทำให้นางพึงพอใจและเลือกคู่เอง นางทมยันตีจึงได้เลือกพระนลเป็นสวามี ทว่า กลี และ ทวารบร ซึ่งจะมางานนี้แต่ทราบว่านางได้เลือกพระนลไปแล้ว ก็โกรธเคืองสัญญาว่าจะทำลายความรักของทั้งคู่และจะทำให้แตกแยกและพลัดพรากจากกันให้ได้ หากตัวเองไม่ได้นางมาครอง ซึ่งเป็นเหตุให้พระนลกับนางทมยันตีต้องพบพานกับอุปสรรคนานัปการ รวมถึงต้องพัดพรากจากกันเป็นเวลานาน แต่ในท้ายที่สุดทั้งคู่ก็สามารถฟันฝ่าอุปสรรคจนสามารถกลับมาครองคู่กันด้วยความสุขได้ดังเดิม

สีดา



สีดา จากเรื่อง รามเกียรติ์ 

          นางสีดาคือพระลักษมีจุติลงมาตามบัญชาของพระอิศวรเพื่ออัญเชิญพระนารายณ์อวตาร นางสีดาเกิดจากนางมณโฑและทศกัณฐ์ พิเภกได้ทำนายดวงชะตานางสีดาว่าจะเกิดมาทำลายเผ่ายักษ์ นางจึงถูกทิ้งให้ลอยน้ำมาในผอบทอง ดังนั้นพระฤาษีชนกก็รับเลี้ยงนางสีดาเป็นธิดา ต่อมาเมื่อนางได้อภิเษกกับพระราม และเกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นเมื่อนางถูกทศกัณฐ์จับตัวไปเพื่อให้เป็นมเหสีเนื่องจากความงามเป็นเลิศของนาง จึงเกิดการรบกันระหว่างฝ่ายพระรามและทศกัณฐ์ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องรามเกียรติ์ขึ้น

          ทั้งนี้ ลักษณะนิสัยนางสีดาเป็นผู้ที่มีความจงรักภักดีต่อสามีอย่างเป็นเลิศ เช่น ในตอนที่พระรามต้องออกดินป่า นางก็ขอตามเสด็จไปด้วยโดยไปเกรงกลัวต่อความยากลำบากที่จะต้องพบ นางสีดานั้นรักนวลสงวนตัว รักในเกียรติของตนเอง เช่น ในตอนที่หนุมานอาสาจะพานางกลับไปหาพระรามโดยให้นั่งบนมือของหนุมาน นางก็ปฏิเสธทั้งที่มีโอกาสหนี แต่ด้วยเหตุที่ไม่อยากให้ใครมาถูกเนื้อต้องตัวจึงยอมทนทุกข์อยู่เมืองลงกาต่อ 

          ส่วนการมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว เช่น ตอนที่นางสีดายอมลุยไฟเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของตน นางสีดามีความรู้คุณ กตัญญูต่อผู้มีพระคุณ เช่น ในตอนที่นางสีดากล่าวขอบคุณพระลักษมณ์ที่ช่วยเหลือนางมาตลอด เมื่อรู้ว่าตนทำผิดก็รู้จักขอโทษ เช่น ในตอนที่รู้ว่าตนทำผิดที่ไม่เชื่อคำของพระรามว่าเป็นกลลวงของยักษาที่แปลงกายเป็นกวางเพื่อหลอกล่อนาง แต่นางก็ไม่ฟัง จึงได้กล่าวขอพระราชทานอภัยโทษจากพระรามที่ได้กระทำผิดไป นางเป็นคนใจแข็ง ไม่ยอมเชื่อใครโดยง่าย ทั้งยังรักศักดิ์ศรีของตน เช่น ในตอนที่พระรามตามง้อขอคืนดี นางก็ปฏิเสธไปเพราะยังมีทิฐิ  

กากี



กากี จากเรื่อง กากาติชาดก 

          นางกากี นอกจากจะมีรูปกายงดงามราวกับเทพธิดาแล้ว ยังมีกลิ่นกายหอมชวนหลงใหล เมื่อชายใดแตะต้องหรือ สัมผัสนาง กลิ่นกายนางก็จะหอมติดชายคนนั้นไปถึงเจ็ดวัน เดิมทีนางกากีเป็นพระมเหสีของท้าวบรมพรหมทัต ซึ่งโปรดการเล่นสกามาก และมีพระยาครุฑเวนไตยซึ่งแปลงร่างเป็นมานพรูปงามมาเล่นสกาอยู่ด้วยเนือง ๆ จนวันหนึ่งท้าวบรมพรหมทัตเล่นสกาเพลิน มิได้ไปหานางกากี นางจึงมาแอบดูและสบตาเข้ากับพระยาครุฑแปลง จากนั้นทั้งสองต่างเกิดอาการหวั่นไหว จนพระยาครุฑได้ตัดสินใจลักพาตัวนางไปอยู่ที่วิมานฉิมพลี ทำให้ท้าวพรหมทัตกลัดกลุ้มพระทัยมาก ดังนั้น คนธรรพ์นาฏกุเวร (คนธรรพ์คือเทวดาชั้นผู้น้อยที่มีความชำนาญด้านดนตรี) ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงของท่านท้าวท้าวบรมพรหมทัตจึงอาสาพานางกลับมา โดยการแปลงตัวเป็นไรแทรกอยู่ในขนครุฑเพื่อตามไปที่วิมานของครุฑ 

          จากนั้นเมื่อพระยาครุฑบินออกไปหาอาหารคนธรรพ์นาฏกุเวรก็ปรากฏกายออกมา แต่แทนที่จะพานางกากีกลับเมือง กลับเกี้ยวพาราสีและเล้าโลมนางจนได้เสียกัน ต่อมาคนธรรพ์นาฏกุเวรกลับมารายงานท้าวบรมพรหมทัตว่า นางกากีจะอยู่กับครุฑและตนได้เสียกับนางแล้วเพื่อให้ท้าวบรมพรหมทัตรังเกียจนาง ซึ่งท้าวบรมพรหมทัตก็โกรธแต่ทำอะไรไม่ได้ เมื่อพระยาครุฑแปลงกายมาเล่นสกาอีกก็ถูกคนธรรพ์นาฏกุเวรเยาะเย้ย เมื่อพญาครุฑทราบเรื่องทั้งหมดก็โกรธนางกากีมาก ถึงขั้นนำนางมาปล่อยไว้ในเมือง ส่วนท้าวบรมพรหมทัตเอง เมื่อเห็นนางก็ต่อว่าถากถางก่อนนำนางไปลอยแพกลางทะเล ระหว่างนั้นนางกากีได้รับความช่วยเหลือจากนายสำเภา ก่อนตกเป็นภรรยาของชายผู้นี้ 

          แต่เคราะห์กรรมนางก็ยังไม่หมด เมื่อถูกโจรลักพาตัวไปเพราะหลงใหลรูปโฉม แต่ปรากฏว่า ในหมู่โจรก็เกิดการแย่งชิงนางเกิดขึ้น เมื่อนางหนีไปได้ก็ได้ไปเป็นมเหสีของท้าวทศวงศ์ กษัตริย์อีกเมืองหนึ่ง เมื่อคนธรรพ์นาฏกุเวรได้ครองเมืองแทนท้าวบรมพรหมทัตที่สวรรคตลง ก็ได้ตามไปชิงนางกลับคืนมาโดยการฆ่าท้าวทศวงศ์ เรื่องจึงจบลง ซึ่งนับดูแล้วพบว่า นางกากีมีสามีถึง 5 คน และต้องตกระกำลำบาก รวมถึงถูกสังคมประณามเนื่องจากมีเสน่ห์มากเกินไป

รจนา



 รจนา จากเรื่อง สังข์ทอง 

          พระสังข์ เป็นโอรสของ ท้าวยศวิมลกับมเหสีชื่อนางจันท์เทวี แต่พระองค์และพระมารดาได้ถูกเนรเทศออกจากวัง เนื่องจากสนมเอกของท้าวยศวิมลที่ชื่อนางจันทาเทวี เกิดความริษยาจึงติดสินบนโหรหลวงให้ทำนายว่าหอยสังข์จะทำให้บ้านเมืองเกิดความหายนะ ท้าวยศวิมลหลงเชื่อจึงจำใจต้องเนรเทศนางจันท์เทวีและหอยสังข์ไปจากเมือง

          นางจันท์เทวีพาหอยสังข์ไปอาศัยอยู่กับตายายชาวไร่ เป็นเวลาถึง 5 ปี ระหว่างนั้นพระโอรสในหอยสังข์ก็แอบออกมาช่วยทำงานบ้านตอนที่ไม่มีใครอยู่ เมื่อนางจันท์เทวีทราบก็ทุบหอยสังข์เสีย เพื่อให้พระสังข์ได้ออกมาอยู่ตน ทว่า ในเวลาต่อมาพระนางจันทาเทวีได้ไปว่าจ้างแม่เฒ่าสุเมธาให้ช่วยทำเสน่ห์เพื่อที่ท้าวยศวิมลจะได้หลงอยู่ในมนต์สะกด และได้ยุยงให้ท้าวยศวิมลไปจับตัวพระสังข์มาประหาร แต่ท้าวภุชงค์ที่เป็นพญานาคได้มาช่วยไว้ และนำไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ก่อนจะส่งให้นางพันธุรัตเลี้ยงดูต่อจนพระสังข์มีอายุได้ 15 ปี

          วันหนึ่งพระสังข์ได้แอบไปเที่ยวเล่นที่หลังวัง จนได้พบกับบ่อเงิน บ่อทอง รูปเงาะ เกือกทอง และไม้พลอง รวมถึงกับซากโครงกระดูก ทำให้พระสังข์ทราบว่านางพันธุรัตเป็นยักษ์ จึงเตรียมแผนการหนีด้วยการกระโดดลงไปชุบตัวในบ่อทอง ก่อนสวมรูปเงาะ กับเกือกทอง และขโมยไม้พลองเหาะหนีไป

          จากนั้นพระสังข์ได้เดินทางมาถึงเมืองสามล ซึ่งมีท้าวสามลและพระนางมณฑาปกครองเมือง ซึ่งท้าวสามลและพระนางมณฑามีธิดาล้วนถึง 7 พระองค์ โดยเฉพาะพระธิดาองค์สุดท้องที่ชื่อ รจนา มีสิริโฉมเลิศล้ำกว่าธิดาทุกองค์ จนวันหนึ่งท้าวสามลได้จัดให้มีพิธีเสี่ยงมาลัยเลือกคู่ นางรจนาที่เห็นรูปทองก็ได้เลือกเจ้าเงาะเป็นสวามี ด้านท้าวสามลที่โกรธจัด เนื่องจากนางรจนาเลือกเจ้าเงาะที่มีรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ ดังนั้นจึงสั่งเนรเทศนางไปอยู่ที่กระท่อมปลายนากับเจ้าเงาะ

          แม้รจนาต้องปลูกผักกินเอง และต้องหุงหาอาหารต่าง ๆ โดยที่นางไม่เคยได้ทำ แต่เจ้าเงาะก็ได้สอนการเป็นแม่บ้านแม่เรือนให้กับนาง  จนนางทำได้ทุกอย่างและอยู่ด้วยกันอย่างเป็นสุข  แต่บรรดาพ่อแม่และพี่ ๆ ก็ยังคอยกลั่นแกล้งนางรจนากับเจ้าเงาะตลอด จนพระอินทร์เกิดสงสารจึงคิดอุบายตีเมืองของท้าวสามนต์ เพื่อให้เจ้าเงาะถอดรูปออกมารบจนชนะ เมื่อท้าวสามลทราบความจริงก็พอใจเป็นอย่างมาก จึงให้ทั้งสองเข้ามาอยู่ในวังด้วยกันดังเดิม

บุษบา




บุษบา จากเรื่อง อิเหนา 



          นางบุษบา เป็นธิดาของท้าวดาหาและประไหมสุหรีดาหราวาตี แห่งกรุงดาหา เมื่อตอนประสูติมีเหตุอัศจรรย์คือ มีกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วทั้งวัง ดนตรี แตรสังข์ก็ดังขึ้นเองโดยไม่มีผู้บรรเลง และเมื่อประสูติได้ไม่นาน ท้าวกุเรปันก็ขอตุนาหงันให้กับอิเหนา ทั้งนี้ นางบุษบาเป็นหญิงที่งามล้ำเลิศกว่านางใดในแผ่นดินชวา กิริยามารยาทเรียบร้อย คารมคมคาย เฉลียวฉลาดทันคน ใจกว้างและมีเหตุผล จึงทำให้อิเหนารักใคร่หลงใหลนางยิ่งกว่าหญิงใด 

          ทว่า นางถูกเทวดาบรรพบุรุษของวงค์อสัญแดหวา คือ องค์ปะตาระกาหลาบันดาลให้ลมพายุหอบไป ทำให้นางต้องพลัดพรากจากอิเหนาเป็นเวลาหลายปีกว่าจะได้พบอิเหนาและวิวาห์กัน โดยนางได้ตำแหน่งเป็นประไหมสุหรีฝ่ายซ้าย ทั้งนี้ การที่นางยอมให้อิเหนายกนางจินตะหราเป็นประไหมสุหรีฝ่ายขวาแต่โดยดี ด้วยเห็นว่านางจินตะหราเป็นผู้มาก่อน แม้ว่าจินตะหราจะไม่ใช่วงศ์เทวัญ ซึ่งข้อนี้ยากที่จะหาหญิงใดเสมอเหมือนและนับว่านางบุษบาเป็นหญิงไทยในวรรณคดีที่สมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติคนหนึ่ง


พระเพื่อนแก้ว พระแพงทอง


   

 พระเพื่อนแก้ว พระแพงทอง จากเรื่อง ลิลิตพระลอ 

          เจ้าราชวงศ์แมนสรวงกับเจ้าราชวงศ์สรองเป็นปรปักษ์ต่อกัน แต่โอรสและธิดาของ 2 เมืองนี้เกิดรักกันและยอมตายด้วยกัน ฝ่ายชายคือ พระลอ เป็นกษัตริย์แห่งเมืองแมนสรวง มีพระชายาชื่อ นางลักษณวดี สำหรับ พระลอ นั้น เป็นหนุ่มรูปงามเป็นที่เลื่องลือไปทั่วจนทำให้พระเพื่อน พระแพง เกิดความรักและปรารถนาที่จะได้พระลอมาเป็นสวามี พี่เลี้ยงของพระเพื่อน พระแพง ชื่อนางรื่น นางโรย จึงได้ออกอุบายส่งคนไปขับซอยอโฉมพระเพื่อน พระแพง ให้พระลอฟัง และให้ปู่เจ้าสมิงพรายทำเสน่ห์ให้พระลอเกิดความรักหลงใหลคิดเสด็จไปหานาง

          แต่เมื่อพระนางบุญเหลือชนนีของพระลอทราบเรื่องเข้าจึงได้หาหมอแก้เสน่ห์ แต่ปู่เจ้าสมิงพรายได้เสกสลาเหิน(หมากเหิน) มาให้พระลอเสวยในตอนหลังอีก ทำให้พระลอถึงกับหลงใหลธิดาทั้งสองมากขึ้น พระลอจึงทูลลาชนนีและพระนางลักษณวดีไปยังเมืองสรอง พร้อมกับนายแก้ว นายขวัญ ที่เป็นพี่เลี้ยง จนกระทั่งพระลอได้พบกับพระธิดาทั้งสอง และได้พวกนางเป็นชายา รวมทั้งนายแก้ว นายขวัญ ก็ได้กับนางรื่น กับนางโรย พี่เลี้ยงเป็นภรรยาด้วยเช่นกัน

          ต่อมา เมื่อพระพิชัยพิษณุกร พระบิดาของพระเพื่อน พระแพง ทราบเรื่องก็ทรงกริ้ว แต่พอทรงพิจารณาเห็นว่าพระลอมีศักดิ์เสมอกันก็หายกริ้ว แต่พระเจ้าย่า (ย่าเลี้ยง) ของพระเพื่อน พระแพง โกรธมาก เพราะแค้นที่พระบิดาของพระลอได้ประหารท้าวพิมพิสาครสวามีในที่รบ พระเจ้าย่าจึงถือว่าพระลอเป็นศัตรู และได้สั่งทหารให้ไปล้อมพระลอที่ตำหนักกลางสวน พร้อมทั้งสั่งประหารด้วยธนู ทำให้ พระลอ พระเพื่อน พระแพง ที่ร่วมกันต่อสู้กับทหารของพระเจ้าย่า สิ้นชีพเคียงข้างกันทั้ง 3 พระองค์  

          ด้านท้าวพิชัยพิษณุกร ทรงทราบว่าพระเจ้าย่าสั่งให้ทหารฆ่าพระลอพร้อมพระธิดาทั้งสององค์ ก็ทรงกริ้วและสั่งประหารพระเจ้าย่าเสีย เนื่องจากมิใช่พระชนนี แล้วโปรดให้จัดการพิธีศพพระลอกับพระธิดาร่วมกันอย่างสมเกียรติ โดยส่งทูตนำสาส์นไปถวายพระนางบุญเหลือ ชนนีของพระลอ ที่เมืองแมนสรวง สุดท้ายเมืองสรองกับเมืองแมนสรวงจึงกลับมามีสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกัน

จินตะหราวาตี



 จินตะหราวาตี จากเรื่อง อิเหนา 

          นางจินตะหรา เป็นพระธิดาท้าวหมันหยากับนางจินดาส่าหรีประไหมสุหรี เกิดในปีเดียวกับอิเหนาแต่อ่อนเดือนกว่า จึงมีฐานะเป็นน้อง แต่ความงามของนางเป็นที่เลื่องลือและทำให้อิเหนาหลงใหลจนไม่อยากกลับบ้าน แต่ขณะนั้นอิเหนามีคู่หมั้นแล้ว คือ นางบุษบา ขณะที่จะอภิเษกสมรสกับนางบุษบา อิเหนาได้หนีออกไปประพาสป่า และได้ปลอมตัวเป็นโจรชื่อ ปันหยี โดยตั้งใจเดินทางไปเมืองหมันหยา ระหว่างทางได้พบเจ้าเมืองรายทางรวมทั้งได้รับการถวายพระธิดา คือ นางสการะวาตีกับนางมาหยารัศมี ให้เป็นข้ารับใช้ อิเหนาได้สู่ขอนางจินตะหรา แต่ท้าวหมันหยาไม่กล้ายกให้ บอกให้อิเหนาไปคุยกับนางจินตะหราเอง อิเหนาจึงไม่ยอมอภิเษกกับบุษบา ท้าวดาหาโกรธมากจึงรับสั่งว่า ใครมาสู่ขอจะยกให้ แต่เมื่อจรกามาสู่ขอและได้เกิดศึกชิงนางบุษบาขึ้น อิเหนาจึงจำใจยกทัพไปช่วย  แต่เมื่อได้พบนางบุษบา อิเหนาเกิดหลงรักนางขึ้นมา จึงไม่ยอมกลับไปที่เมืองหมันหยาตามที่ตั้งใจไว้ 

          ด้านนางจินตะหราน้อยใจมากที่อิเหนาลืมนาง ต่อมานางได้พบกับอิเหนาอีกครั้ง เมื่อท้าวกุเรปันส่งสารมาให้นางไปเข้าพิธีอภิเษกพร้อมกับนางบุษบา แม้นางจินตะหราไม่อยากไปร่วมพิธี แต่ขัดไม่ได้ จึงพานางสการะวาตีและนางมาหยารัศมีไปด้วย  ในพิธีอภิเษก นางบุษบาได้อยู่ในตำแหน่งประไหมสุหรีฝ่ายซ้าย ขณะที่จินตะหราวาตีอยู่ในตำแหน่งประไหมสุหรีฝ่ายขวา ด้วยความเห็นชอบของท้าวดาหา แต่นางจินตะหราไม่มีความสุขกับตำแหน่งนั้น เพราะอิเหนาไม่ได้รักนางเหมือนเมื่อก่อน 

          ดังนั้นเมื่ออิเหนามาหา นางก็ได้ทวงสัญญาเมื่อครั้งเก่า ทำให้อิเหนาเสื่อมรักนางมากขึ้น แต่ไม่สามารถขัดคำสั่งของประไหมสุหรีของท้าวดาหาได้ ดังนั้นอิเหนาจึงจำใจต้องไปง้อนาง แต่เมื่อท้าวหมันหยากับประไหมสุหรีได้ทราบเรื่องนี้ จึงเรียกนางจินตะหราไปตักเตือน ทำให้นางจินตะหราทราบว่า แท้จริงแล้วตัวนางเสียเปรียบนางบุษบามาก หากนางทำตัวเช่นนี้มีแต่จะทำให้เรื่องแย่ลง นางจินตะหราจึงยอมคืนดีกับอิเหนาและเป็นฝ่ายเข้าหานางบุษบาแต่โดยดี

มัทนา


    

 มัทนา จากเรื่อง ตำนานรักดอกกุหลาบ 

          นางมัทนา เป็นนางฟ้าที่มีรูปโฉมงดงาม จนจอมเทพสุเทษณ์ติดตาตรึงใจและใคร่จะได้นางเป็นชายา แต่นางมัทนาไม่เคยสนใจจอมเทพสุเทษณ์ เพราะได้ตั้งปณิธานไว้ว่าจะครองคู่กับชายที่ตนรักเท่านั้น ด้านจอมเทพสุเทษณ์เป็นเทพผู้ใหญ่บนสรวงสวรรค์ แต่กลับเป็นทุกข์อยู่ด้วยความลุ่มหลงเทพธิดามัทนา แม้จิตระรถสารถีคู่บารมีจะนำรูปของเทพเทวีผู้เลอโฉมหลายต่อหลายองค์มาถวายให้เลือกชม จอมเทพสุเทษณ์ก็มิสนใจไยดี และไม่ว่าเกี้ยวพาหรือรำพันรักอย่างไร นางมัทนาก็ได้แต่ปฏิเสธว่า ไม่มีจิตเสน่หาตอบ ดังนั้นจอมเทพสุเทษณ์จึงโกรธมาก กระทั่งจะสาปนางมัทนาให้ไปเกิดในโลกมนุษย์ 

          แต่นางมัทนาขอให้ตนเองได้ไปเกิดเป็นดอกไม้มีกลิ่นหอมเพื่อให้มีประโยชน์บ้าง จอมเทพสุเทษณ์จึงสาปนางมัทนาให้ไปเกิดเป็นดอกกุหลาบที่งามทั้งกลิ่น ทั้งรูป และมีแต่เฉพาะบนสวรรค์ ยังไม่เคยมีบนโลกมนุษย์ โดยทุก ๆ วันเพ็ญของแต่ละเดือน นางมัทนาจะกลายร่างเป็นคนได้เพียงหนึ่งวัน หนึ่งคืน เท่านั้น หากนางมีความรักเมื่อใด นางก็จะไม่ต้องคืนรูปเป็นกุหลาบอีก แต่นางจะได้รับความทุกข์ทรมานเพราะความรักจนมิอาจทนอยู่ได้ และเมื่อนั้นถ้านางอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ จอมเทพสุเทษณ์จึงจะงดโทษทัณฑ์นี้ให้แก่นาง

          ต่อมานางมัทนาไปจุติเป็นกุหลาบงามอยู่ในป่าหิมะวันแลได้พบรักกับพระรถเสน แต่นางต้องพบกับอุปสรรคนานัปการ จนนางต้องอ้อนวอนขอร้องให้จอมเทพสุเทษณ์ช่วยนาง ด้านจอมเทพสุเทษณ์ยินดีแก้คำสาปให้แต่ยังคงต้องการรับนางเป็นมเหสีอยู่เช่นเดิม แต่นางมัทนาได้ปฏิเสธอีกครั้ง ดังนั้นจอมเทพสุเทษณ์จึงสาปส่งให้นางมัทนาเป็นดอกกุหลาบไปตลอดกาล มิอาจกลายร่างเป็นมนุษย์ได้อีก

          เมื่อท้าวชัยเสนตามมาถึงในป่าและทราบเรื่องทั้งหมด พระองค์จึงร่ำไห้ด้วยความอาลัยก่อนรำพันถึงความหลงผิดและรำพันความรักที่มีต่อนางมัทนาให้ต้นกุหลาบได้รับรู้ จากนั้นจึงขุดต้นกุหลาบเพื่อนำกลับไปปลูกในอุทยาน และขอให้พระฤๅษีช่วยให้พรวิเศษเพื่อทำให้ต้นกุหลาบงดงามมิโรยราตราบจนกว่าพระองค์จะสิ้นอายุขัย ซึ่งพระฤาษีก็ประสิทธิประสาทพรให้กุหลาบนั้นดำรงอยู่คู่โลกนี้มิมีสูญพันธ์ตลอดมา

วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2556

มโนราห์


           มโนราห์ จากเรื่อง พระสุธน-มโนราห์ 

          นางมโนราห์ เป็นธิดาองค์เล็กของท้างทุมราชผู้เป็นพระยากินนร  นางมีพระพี่นางอีกหกองค์ล้วนมีหน้าตาเหมือน กันและงดงามยิ่งกว่านางมนุษย์  โดยทุกองค์มีปีกและหางที่ถอดออกได้  เมื่อใส่ปีกใส่หางแล้วกินนรก็สามารถบินไปยังที่ต่าง ๆ ได้ นางมโนราห์และพี่น้องทั้งหกได้ไปเล่นน้ำที่สระน้ำอโนดาต เจอพรานบุญที่ต้องการจับตัวนางกินรีเพราะเห็นว่านางงดงามคู่ควรแก่พระสุธน โอรสแห่งเมืองปัญจาลนคร  พรานบุญจึงไปยืมบ่วงนาคบาศจากท้าวชมพูจิต พญานาคราช ทำให้สามารถจับนางมโนราห์ไปถวายแค่พระสุธนได้ พระสุธนเมื่อเห็นนางเข้าก็เกิดหลงรักและพานางกลับเมืองจนได้อภิเษกกัน 


          ต่อมาปุโรหิตคนหนึ่งได้เกิดจิตอาฆาตแค้นแก่พระสุธน เพราะพระสุธนไม่ให้ตำแหน่งแก่บุตรของตน เมื่อถึงคราวเกิดสงคราม พระสุธนออกไปรบ เมื่อพระบิดาพระสุธนได้ทรงพระสุบิน ปุโรหิตจึงทำนายว่าจะเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ โดยให้นำนางมโนราห์ไปบูชายัญเพื่อแก้เคล็ด เมื่อท้าวอาทิตยวงศ์ยินยอมตามนั้น นางมโนราห์ที่รู้เข้าก็เกิดตกใจ จึงออกอุบาย ของปีกกับหางขอนางคืน เพื่อร่ายรำหน้ากองไฟก่อนจะตาย เมื่อนางได้ปีกกับหางแล้ว นางจึงร่ายรำสักพักก่อนบินหนีไป ไปเจอฤาษี 


          จากนั้นนางได้กล่าวกับฤาษีว่า หากพระสุธนตามมาให้บอกว่าไม่ต้องตามนางไป เพราะมีภยันอันตรายมากมาย และได้ฝากภูษาและธำมรงค์ให้พระสุธน เมื่อนางมโนราห์ได้กลับไปที่เมืองก็ได้มีพิธีชำระล้างกลิ่นอายมนุษย์ ฝ่ายพระสุธนที่กลับจากสงครามได้ลงโทษปุโรหิต และติดตามหานางมโนราห์ เมื่อเจอพระฤาษี พระสุธนจึงติดตามนางมโนราห์ต่อไป โดยมีพระฤาษีค่อยช่วยเหลือ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเวรกรรมจากชาติปางก่อน เนื่องจาก นางมโนราห์ คือ พระนางเมรี และพระสุธนคือ พระรถเสน ทำให้พระสุธนได้รับความลำบากมาก 


          เมื่อพระสุธนมาถึงสระน้ำอโนดาต ได้แอบเอาพระธำมรงค์ใส่ลงในคณโฑของนางกินรีนางหนึ่ง ซึ่งนางกินรีได้นำน้ำนั้นไปสรงให้นางมโนราห์ พระธำมรงค์ได้ตกลงมาที่แหวนของนางพอดี ทำให้นางรู้ว่าพระสุธนมาหานาง นางจึงแจ้งให้พระบิดาและพระมารดาทราบ ดังนั้นเมื่อพระบิดาของนางมโนราห์ต้องการทราบว่าพระสุธนมีความรักต่อนางมโนราห์จริงหรือไม่ จึงได้ทำการทดสอบพระสุธน โดยให้บอกว่า นางไหนคือนางมโนราห์ ซึ่งนางมโนราห์และพี่ ๆ ต่างมีหน้าตาเหมือนกัน ด้านพระอินทร์เกิดเห็นใจจึงให้ความช่วยเหลือจนทำให้นางมโนราห์และพระสุธนได้เคียงคู่กันอย่างมีความสุข


ผู้จัดทำ





ชื่อ    นางสาวอัญญาพร   โยธาฤทธิ์         ชื่อเล่น   ออย          อายุ  19   ปี     
นิสิตชั้นปีที่  1    คณะศึกษาศาสตร์    สาขาวิชาภาษาไทย    มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
รหัสนิสิต  56010514103

เบอร์โทรศัพท์  :  095-305-2639  ,  083-290-5521
Facebook  :  Oil Anyaporn
E-mail  :   noteno.7@gmail.com   ,  dioka_na@hotmail.com
โปร์ไฟล์
อัลบั้มภาพส่วนตัว